นับถอยหลัง วันสิ้นสุดโลก ‘ล้างพันธุ์มนุษย์’ ‘โรคระบาด’ก็น่าคิด?
นอกจากจะมีปัจจัยจากนอกโลก ปัจจัยจากในโลกเอง ยึดโยงอยู่กับกระแสลือ “21/12/2012 – วันสิ้นโลก” แล้ว กับรหัสผวา “สิ้นโลก” กระแสลือเรื่องโลกจะถึงกาลแตกดับ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตจะสูญสิ้นนั้น ในบางมุมยังมีการลือยึดโยงถึงกรณี “โรคระบาดร้ายแรง-การระบาดของเชื้อลึกลับ” ด้วย และกรณีนี้ก็เป็นประเด็นที่อาจจะมีผู้คนในทุกมุมโลกจำนวนไม่น้อยมองว่า “มีความเป็นไปได้??” ไม่แพ้กรณีหรือปัจจัยด้านอื่น ๆ กรณีนี้...มีการลือโยงย้อนถึง “ชนเผ่ามายา” กรณีนี้...จริง ๆ ก็ฆ่ามนุษย์ได้เป็นเบือ?!?!? ทั้งนี้ กับกระแสลือที่โยงกับชนเผ่าโบราณผู้สร้าง “ปฏิทินมายา” ที่มาของกระแสลือ “21/12/2012 – วันสิ้นโลก” นั้น มีบางส่วนที่ตั้งข้อสังเกตเชิงคำถาม ว่า... อาณาจักร-ชนเผ่าที่เคยรุ่งเรืองนี้ทำไมถึงได้ล่มสลายไปเกือบสิ้น?? แล้วก็มีการตั้งข้อสังเกตเชิงคำตอบ ว่า... อาจเพราะโรคลึกลับที่ระบาดอย่างรุนแรง?? กับกรณีนี้-ประเด็นนี้ ก็มีนักประวัติศาสตร์ด้านอารยธรรมมายา ตั้งสมมุติฐานว่า ในช่วงหนึ่ง อาณาจักรมายาที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ อาจโดนโรคระบาดลึกลับโจมตี และด้วยความที่มีประชากรอยู่หนาแน่น ทำให้โรคระบาดนี้ลุกลามแพร่กระจายติดต่อกันไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก หรือบางส่วนก็อพยพหนีไป ซึ่งโรคระบาดลึกลับในตอนนั้น ที่มีการตั้งสมมุติฐาน ก็เช่น ไข้ทรพิษ, กาฬโรค เป็นต้น กรณีโรคระบาดร้ายแรงกับชนเผ่ามายา นั่นก็ว่ากันไปตามกระแสลือ หรือตามการตั้งสมมุติฐาน แต่หากถามว่า...“โรคระบาดร้ายแรงคร่าชีวิตมนุษย์คราวละนับสิบ ๆ ล้านคน ได้หรือไม่?” คำตอบคือ...“ได้!!” ย้อนดูที่ “เคยเกิดขึ้นจริงในอดีต” โลกเราเคยเผชิญหน้ากับ “วิกฤติโรคระบาดรุนแรง” มาแล้วหลายหน ยกตัวอย่างเช่น... การระบาดของ “กาฬโรค (Bubonic plague)” ในยุโรปสมัยกลาง ราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 ซึ่งครั้งนั้นประมาณกันว่า มีผู้เสียชีวิตในยุโรปราว 25 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของประชากรยุโรปเวลานั้นการระบาดของ “ไข้หวัดสเปน (Spanish Flu)” ในปี พ.ศ.2461 นี่นับเป็นการระบาดของโรคระบาดครั้งร้ายแรงที่สุดของโลก และทำให้คำว่า “ไข้หวัด” เป็นคำที่ “น่ากลัว” ได้ เพราะหวัดชนิดนี้มิใช่แค่ทำให้น้ำมูกไหล-ไข้ขึ้น แต่ คร่าชีวิตผู้คนไปราว 50 ล้านคน มากกว่าผู้คนที่เสียชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เสียอีก!! หรืออย่างการระบาดของ “โรคซาร์ส (SARS: Severe acute respiratory distress syndrome)” ที่อุบัติขึ้นในปี พ.ศ.2545 และระบาดถึงปี พ.ศ.2546 นี่ก็น่ากลัว โดยพบผู้ป่วยคนแรกในจีน ก่อนจะลุกลามไปในมุมโลกต่าง ๆ กินอาณาเขตแพร่ขยายของโรคเกือบ 30 ประเทศทั่วโลก โดยมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ไปจำนวนหนึ่ง “ไข้หวัดนก Avian Influenza (Bird Flu)” นี่ก็อีกหนึ่งโรคระบาดที่เขย่าขวัญมนุษย์ ในช่วงปีที่ไล่เลี่ยกับการระบาดของโรคซาร์ส ซึ่งก็คร่าชีวิตมนุษย์ไปจำนวนหนึ่ง ไม่รวมชีวิตสัตว์ปีกที่ต้องมีการทำลายทิ้งไปมหาศาล กับ 2 โรคหลังนี้ แม้ตัวเลขการเสียชีวิตของมนุษย์จะไม่มากเหมือนการระบาดรุนแรงของโรคอื่นในอดีต ด้วยวิทยาการทางการแพทย์ที่เจริญมากขึ้น แต่ชาวโลก รวมถึงคนไทย ก็ตื่นกลัวกันมาก ก็ผวากันไม่แตกแต่งจากโรคติดต่อบางโรคที่ยังไม่มีการค้นพบการรักษาให้หายขาด เช่น “โรคเอดส์” และไม่เท่านั้น...ทั่วโลกก็ยังต้องหวาดผวากับ “เชื้อโรคชนิดใหม่-ไวรัสกลายพันธุ์” โรคบางชนิด-เชื้อไวรัสบางตัว ทำให้ชาวโลกผวาเพิ่มขึ้น อย่างการกลายพันธุ์ของเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่ เป็น “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ชนิดเอ เอช1 เอ็น1 (Influenza A H1N1)” ในปี พ.ศ.2552 ซึ่งนี่เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ตัวใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อนในโลก ที่สำคัญยังเป็นเชื้อที่ “เกิดจากการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรม” ระหว่าง “คน-สุกร-นก” นี่แสดงให้เห็นว่า “เชื้อโรค” ก็ปรับตัวเปลี่ยนแปลง กลายเป็น “เพชฌฆาตพันธุ์ใหม่” ที่ร้ายสุด ๆ ได้!!! ทั้งนี้ โรคระบาด โรคติดต่อ ชนิดต่าง ๆ อาทิ... โรคซาร์ส, ไข้หวัดนก, ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่, ไข้สมองอักเสบนิปาห์ไวรัส, โรคเวสต์ไนล์ไวรัส, ไข้ชิคุนกุนยา, วัณโรคดื้อยา, โรคมือ เท้า ปาก, โรคลีเจียนเนลโลซิส, โรคสมองฝ่อแบบใหม่จากโรควัวบ้า, ไข้เลือดออกอีโบลา, ไข้เลือดออกมาร์บวร์ก, ฝีดาษลิง, ไข้ทรพิษ, กาฬโรค ฯลฯ ทั้งโรคชนิดเก่าที่กลับมาระบาดใหม่ และ “โรคอุบัติใหม่” เหล่านี้เป็น “ภัยเชื้อโรค” ที่เขย่าขวัญชาวโลกมาโดยตลอด นี่ยังไม่รวมกรณีที่เชื้อโรคบางตัวถูกมนุษย์เองทำให้มันร้ายกาจมากขึ้นอีกในรูปแบบของการเป็น “อาวุธเชื้อโรค-อาวุธชีวภาพ” เช่น เชื้อแอนแทรกซ์ เชื้อไข้ทรพิษ เป็นต้น “มนุษย์ถูกล้างด้วยเชื้อโรค” นี่จึงเป็นอีกกรณีผวาและจากการที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ คลองห้า ปทุมธานี กำลังมีการจัดนิทรรศการให้ข้อเท็จจริงเรื่องสิ้นโลกอยู่ในตอนนี้ โดยทางทีม “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ก็ได้ไปดูมา ก็ไปได้ความเห็นทางวิชาการที่น่าสนใจจาก สาคร ชนะไพฑูรย์ รองผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) เกี่ยวกับ “ภัยเชื้อโรค-ภัยโรคระบาด” มาด้วย โดยรองผู้อำนวยการองค์การฯ ระบุว่า... การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ อุณหภูมิโลก ที่เรียกว่า “สภาวะโลกร้อน” สภาวะนี้ “อาจทำให้เกิดโรคระบาดร้ายแรงแพร่กระจายมากขึ้น อาจทำให้เชื้อโรคชนิดเดิม ๆ กลายพันธุ์ง่ายขึ้น และเมื่อโลกร้อนขึ้นก็อาจทำให้เกิดเชื้อโรคใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น” ยกตัวอย่างเช่น... เชื้อโรคบางตัวเคยสูญหายไปในอุณหภูมิระดับหนึ่ง แต่พออุณหภูมิโลกสูงขึ้นสัก 1 องศาเซลเซียส เชื้อก็อาจฟื้นตัวกลับมา และอาจขยายแพร่พันธุ์ได้ดีกว่าในอดีต เพราะเหมือนได้วิวัฒนาการได้ปรับตัวเองมาแล้ว ซึ่งอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้น แม้เพียงเล็กน้อย แต่ก็อาจเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมกับเชื้อโรค “เชื้อโรคบางตัวอาจสูญหายไปในช่วงที่โลกยังเย็น อาจถูกหยุดวงจรโดยอุณหภูมิน้ำแข็งขั้วโลกห่อหุ้มไว้ แต่พอน้ำแข็งขั้วโลกละลาย อุณหภูมิโลกสูงขึ้น นี่ก็เป็นเรื่องที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ชี้ว่า อาจเป็นปัจจัยในการกลับมาแพร่กระจายของเชื้อโรค ซึ่งจะถึงขนาดล้างเผ่าพันธุ์หรือทำให้สิ้นโลกหรือไม่ คงตอบไม่ได้ แต่ไม่ต้องถึงขั้นนั้น โลกและมนุษย์ก็ย่อมได้รับผลกระทบอยู่ดี” ...รองผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ระบุในเชิงวิชาการ นอกเหนือจากส่วนที่พิพิธภัณฑ์ให้ความรู้อยู่และ ณ ที่นี้ก็ขอเน้นว่า... นี่มิใช่การชี้ถึงการ “สิ้นโลก” ทั้งหมดทั้งมวล ณ ที่นี้มิใช่จะชี้ว่าโลกจะสิ้นหรือมนุษยชาติจะสูญพันธุ์เพราะเชื้อโรค-โรคระบาด เหมือนบางมุมในกระแสลือเรื่องชนเผ่ามายาโบราณ และหากจะมีการตั้งข้อสังเกตเชิงแย้งว่าโลกยุคปัจจุบันนั้นมนุษย์มีการพัฒนาวิทยาการทางการแพทย์จนเท่าทันภัยเชื้อโรคต่าง ๆ ในระดับที่สูงขึ้นมากแล้ว จึงไม่ต้องกลัวจะเกิดการเสียชีวิตหลาย ๆ สิบล้านชีวิตเพราะโรคระบาด โรคลึกลับ เหมือนในอดีตอีกแล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นความจริง แต่จะอย่างไร...มนุษย์ก็ยัง “ประมาทเชื้อโรคไม่ได้” อีกทั้ง...“มนุษย์นี่แหละที่อาจล้างพันธุ์มนุษย์” ทั้ง...“ด้วยเชื้อโรค-สารเคมี-อาวุธ-พฤติกรรม” “มนุษย์เองทำให้สิ้นโลก”...นี่ก็ต้องมาดูกัน...